พระไตรปิฎก - พระสุตตันตปิฎก - สามัญญผลสูตร
สามัญญผลสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ ชื่อทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ แปลว่า "หมวดหรือพวกขนาดยาว" เป็นสุตตันตปิฎก
***************************************************
๒.สามัญญผลสูตร
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ
ป่ามะม่วงของหมอชีวก ใกล้กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่คืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ
อันเป็นวันอุโบสถ เดือน ๑๒ พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จไปเฝ้า
ทูลถามถึงผลดีของความสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน และตรัสเล่าว่า เคยไปถามครูทั้งหกมาแล้ว
แต่ตอบไม่ตรงคำถาม เปรียบเหมือนถามถึงเรื่องมะม่วง แต่ตอบเรื่องขนุน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเป็นข้อๆ
ดังนี้
๑. ผู้เคยเป็นทาสหรือกรรมกรของพระเจ้าอชาตศัตรู
เมื่อออกบวชประพฤติตนดีงามแล้ว
จะทรงเรียกร้องให้กลับไปเป็นทาสหรือกรรมกรตามเดิมหรือไม่. พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบว่า
ไม่เรียกกลับ แต่จะแสดงความเคารพถวายปัจจัย ๔
และถวายความคุ้มครองอันเป็นธรรม ตรัสสรุปว่า
นี่เป็นผลของความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน
๒. คนทำนาของพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อออกบวชประพฤติตนดีงามแล้ว
จะทรงเรียกร้องให้กลับไปทำนาให้ตามเดิมหรือไม่ ตรัสตอบเหมือนข้อแรก
จึงนับเป็นผลของความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน
๓. คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ฟังธรรมเลื่อมใสแล้วออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ สมบูรณ์ด้วยศีล (พรรณนาศีลอย่างเล็กน้อย อย่างกลาง อย่างใหญ่ เหมือนในพรหมชาลสูตร), สำรวมอินทรีย์ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิให้บาปอกุศลเกิดขึ้นท่วมทับจิต, มีสติสัมปชัญญะ, มีความสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ ตามมีตามได้, ออกป่าบำเพ็ญสมาธิ ละกิเลสที่เรียกว่านีวรณ์ ๕ เสียได้ จึงได้บรรลุฌานที่ ๑ นี้ก็เป็นผลของความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน
๔. ได้บรรลุฌานที่ ๒
๕. ได้บรรลุฌานที่ ๓
๖.ได้บรรลุฌานที่ ๔
๗. น้อมจิตไปเพื่อเกิดความรู้เห็นด้วยปัญญา (ญาณทัสสนะ) ว่า กายมีความแตกทำลายไปเป็นธรรมดา วัญญาณก็อาศัยและเนื่องในกายนี้ (วิปัสสนาญาณ ญาณอันทำให้เห็นแจ้ง)
๘. นิรมิตร่างกายอื่นจากกายนี้ได้ (มโนมยิทธิ คือฤทธิ์ทางใจ)
๙. แสดงฤทธิ์ได้ เช่น น้อยคนทำให้เป็นมากคน มากคนทำให้เป็นน้อยคน เดินน้ำ ดำดิน เป็นต้น ( อิทธิวิธิ)
๑๐. มีหูทิพย์ ได้ยินเสียใกล้ไกล ที่เกินวิสัยหูของมนุษย์ธรรมดา (ทิพยโสด)
๑๑. กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ (เจโตปริยญาณ)
๑๒.ระลึกชาติในอดีตได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
๑๓. เห็นสัตว์อื่นตายเกิดด้วยตาทิพย์ (เรียกว่าทิพยจักษุ หรือจุตูปปาตญาณ คือญาณรู้ความตายและความเกิดของสัตว์).
๑๔. รู้จักทำอาสวะ คือกิเลสที่หมักหมม หรือหมักดองในสันดานให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ).
๘. นิรมิตร่างกายอื่นจากกายนี้ได้ (มโนมยิทธิ คือฤทธิ์ทางใจ)
๙. แสดงฤทธิ์ได้ เช่น น้อยคนทำให้เป็นมากคน มากคนทำให้เป็นน้อยคน เดินน้ำ ดำดิน เป็นต้น ( อิทธิวิธิ)
๑๐. มีหูทิพย์ ได้ยินเสียใกล้ไกล ที่เกินวิสัยหูของมนุษย์ธรรมดา (ทิพยโสด)
๑๑. กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ (เจโตปริยญาณ)
๑๒.ระลึกชาติในอดีตได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
๑๓. เห็นสัตว์อื่นตายเกิดด้วยตาทิพย์ (เรียกว่าทิพยจักษุ หรือจุตูปปาตญาณ คือญาณรู้ความตายและความเกิดของสัตว์).
๑๔. รู้จักทำอาสวะ คือกิเลสที่หมักหมม หรือหมักดองในสันดานให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ).
แล้วตรัสสรูปในที่สุดแห่งทุกข้อว่า เป็นผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบันสูงกว่ากันเป็นลำดับ
เมื่อจะย่อผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบันทั้งสิบสี่ข้อนี้เป็นหมวดๆ ก็อาจย่อได้ ๓ หมวดคือ
หมวดที่ ๑ ทำให้พ้นจากฐานะเดิม คือพ้นจากความเป็นทาส เป็นกรรมกร พ้นจากความเป็นชาวนา ได้รับการปฎิบัติด้วยดี แม้จากพระมหากษัตริย์ คือผลข้อ ๑ กับข้อ ๒.
หมวดที่ ๒ เมื่ออบรมจิตใจจนเป็นสมาธิ ก็เป็นเหตุให้ได้ฌานที่ ๑ ถึง ๔ อันทำให้ละกิเลสอย่างกลางได้ คือผลข้อ ๓.๔.๕. และ ๖.
หมวดที่ ๓ ทำให้ได้วิชชา ๘ อันเริ่มแต่ข้อ ๗ ได้วิปัสสนาญาณ จนถึงข้อ ๑๔ ได้อาสวักขยณาณ
หมวดที่ ๓ ทำให้ได้วิชชา ๘ อันเริ่มแต่ข้อ ๗ ได้วิปัสสนาญาณ จนถึงข้อ ๑๔ ได้อาสวักขยณาณ
พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเลื่อมใส ปฏิญาณพระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วกราบทูลขอขมาในการที่ปลงพระชนม์ชีพพระราชบิดา (คือพระจ้าพิมพิสาร) ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสรับขมา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น