Translate

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

พระสุตตันตปิฎก-ปายาสิราชัญญสูตร




  พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-ปายาสิราชัญญสูตร
      ปายาสิราชัญญสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่10 ทีฆนิกายมหาวัคค์เป็นที่รวมแห่งพระสูตรขนาดยาว


๑๐.ปายาสิราชัญญสูตร

   สูตรว่าด้วยพระเจ้าปายาสิ


********************************************************************************************





เหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นโกศล พระกุมารกัสสป พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป จาริกไปในแคว้นนั้น แวะพัก ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทิศเหนือของเสตัพยนคร สมัยนั้น พระเจ้าปายาสิ (เป็นเพียงราชัญญะ คือพระราชาที่มิได้อภิเษก) ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ครอบครอง เสตัพยนคร.


                พระเจ้าปายาสิมีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่าโลกอื่นไม่มี สัตว์เป็นอุปปาติกะ (เกิดใหญ่โตขึ้นทันที เช่นเทพ) ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี.

                เมื่อได้สดับกิตติศัพท์อันงามของพระกุมารกัสสป พราหมณ์คฤหบดีทั้งหลายก็พากันเดินทางไปหา เป็นกลุ่ม ๆ พระเจ้าปายาสิทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ตรัสถามทราบความก็เสด็จไปด้วย เมื่อผู้ที่ไปกล่าว สัมโมทนียกถาปราศรัยตามสมควรแล้ว พระเจ้าปายาสิก็ประกาศทิฏฐิของพระองค์ดังกล่าวแล้วแก่พระเถระซึ่งจะย่อคําโต้ตอบเป็นข้อๆดังต่อไปนี้ :

                . พระเถระถามว่าทีทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มี เป็นต้นนั้นพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในโลกนี้หรือโลกอื่น, ตรัสตอบว่าพระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ในโลกอื่นมิใช่เทวดาหรือมนุษย์ในโลกนี้.

                ๒. ตรัสเล่าว่ามีมิตรอํามาตย์ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติชัวมีประการต่างๆเมื่อบุคคลเหล่านั้นเจ็บไข้ ซึ่งพระองค์เห็นว่าจะไม่หายแน่ ก็เสด็จไปหาและสั่งว่าถ้าไปตกนรกเพราะประพฤติชั่วตามคําของสมณพราหมณ์แล้วขอให้กลับมาบอกพวกเหล่านั้นรับคําแล้วก็ไม่มีใครมาบอกเลย. พระองค์จึงไม่เชื่อโลกอื่นมี พระเถระกล่าวว่าเปรียบเหมือนโจรที่ทําผิดราชบุรุษจับได้ ก็นําตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิตโจรเหล่านั้นจะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่ ตรัสตอบว่าไม่ได้. พระเถระจึงกล่าวว่าพวกที่ ทําชัวก็เช่นกันถ้าไปตกนรกก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาลให้มาบอก.

                ๓. ตรัสเล่าว่าพระองค์เคยสังคนที่ทําความดีว่าถ้าตายได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะประพฤติดี ตามคําของสมณพราหมณ์แล้วขอให้กลับมาบอก. พวกนั้นรับคําก็ไม่มีใครมาบอกเลยพระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอีนมี, พระเถระทูลว่าเปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะพระองค์สังให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุมนั้นเอาซี่ไม้ไผ่ปาดอุจจาระออกทําความสะอาดหมดจดแล้วนําพวงมาลัยเครื่องลูบไล้และผ้ามีราคาแพงมาให้นุ่งห่มพาขึ้นสู่ปราสาทบําเรอด้วยกามคุณ ๕ บุรุษนั้นจะอยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่, ตรัสตอบว่าไม่อยาก. ถามว่าเพราะเหตุไร. ตรัสตอบว่าเพราะหลุมอุจจาระไม่สะอาดมี กลินเหม็นปฏิกูล, พระเถระทูลว่ามนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็นปฏิกูลสําหรับเทวดาทั้งหลายพวกทําความดีที่ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จะกลับมาบอกอย่างไร.


                ๔. ตรัสเล่าว่าพระองค์เคยสังคนที่ทําความดีว่าสมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่าผู้ทําความดีจะไปสู่ สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านทั้งหลายไปเกิดเช่นนั้นแล้วขอให้กลับมาบอกด้วยพวกนั้นรับคําแล้วก็ไม่มีใครมาบอกเลยพระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี พระเถระทูลว่าร้อยปีของมนุษย์ เป็นคืนหนึงกับวันหนึ่งของเทพชั้นดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปี, ๑ พันปีทิพย์ เป็นประมาณแห่งอายุของเทพชั้นดาวดึงส์ ผู้ทําความดีที่ไปเกิดในที่นั้นคิดว่าอีกสัก ๒-๓ วันจะไปบอกพระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้หรือไม่, ตรัสตอบว่ามาไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าคงตายไปนานแล้วแต่ก็ใครบอกแก่ท่านเล่าว่าเทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาดนั้นข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย. พระเถระทูลว่าเปรียบเหมือนคนที่ เสียจักษุแต่กําเนิดมองไม่เห็นอะไรเลยจึงกล่าวว่าสีดําขาวเขียวเหลืองแดงแสดไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่มี ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาวพระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่ตรัสตอบว่า กล่าวไม่ชอบพระเถระจึงทูลว่า พระองค์ที่ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ก็เป็นเช่นนั้น. สมณพราหมณ์บางพวกที่เสพเสนาสนะ
ป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทําความเพียร ชําระทิพยจักษุ มองเห็นโลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุ อันเป็นทิพย์ เหนือจักษุของมนุษย์มีอยู่ เรื่องของปรโลกพึงเห็นอย่างนี้ ไม่พึงเข้าใจว่าจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้

                ๕. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรมอันงาม ใคร่มีชีวิต ไม่อยากตาย ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดว่า ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีธรรมอันงามเหล่านี้ รู้ตัวว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ ก็ควรจะกินยาพิษ เชือดคอตาย ผูกคอตาย หรือโดดเหวตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ จึงรักชีวิต ไม่อยากตาย ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ ข้อนี้เป็นเหตุให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่า โลกอื่นมี สัตว์อุปปาติกะ (เกิดเติบโตขึ้นทันที) มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า พราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน คนหนึ่งมีบุตรอายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อีกคนหนึ่งมีครรภ์จวนคลอด พราหมณ์ นั้นถึงแก่กรรม มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเลี้ยงว่า ทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ ตกเป็นของข้าพเจ้าทั้งหมด ของท่านไม่มีเลย ขอท่านจงมอบความเป็นทายาทของบิดาแก่ข้าพเจ้า นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเลี้ยงตอบว่า เจ้าจงรอก่อนจนกว่าเราจะคลอด ถ้าคลอดเป็นชาย ก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงนั้น ก็จะตกเป็นของเจ้า.แต่มาณพนั้นก็เซ้าซี้อย่างเดิม แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ นางพราหมณีจึงถือมีดเข้าไป ในห้อง ผ่าท้องเพื่อจะรู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง เป็นการทําลายตัวเอง ทําลายชีวิต ทําลายเด็กใน ครรภ์ และทําลายทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นผู้เขลา แสวงหาสมบัติโดยไม่แยบคาย จึงถึงความพินาศ สมณพราหมณ์ ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ที่เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอจนกว่าจะสุก สมณพรามหณ์เหล่านี้ดํารงชีวิต อยู่นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวาและมนุษย์ทั้งหลาย

                ๖. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ใส่ลงไปในหม้อทั้งเป็น ปิดฝาแล้วเอา หนังสดรัด เอาดินเหนียวที่เปียกยาให้แน่น ยกขึ้นสู่เตาแล้วจุดไฟ เมื่อรู้ว่าผู้นั้นตายแล้ว ก็ให้ยกหม้อลง กะเทาะ ดินที่ยาออก เปิดฝาค่อย ๆ มองดู เพื่อจะได้เห็นชีวะของโจรนั้นออกไปก็ไม่เห็นเลย จึงทําให้ไม่เชื่อว่ามีโลกอื่น พระเถระทูลถามว่า ทรงระลึกได้หรือไม่ว่า เคยบรรทมหลับกลางวัน แล้วทรงฝันเห็นสวน ป่า ภูมิสถาน และสระน้ำอันน่ารื่นรมย์หรือไม่ ตรัสว่า ระลึกได้, ถามว่า ในสมัยนั้น คนค่อม คนหรือเด็ก ๆ เฝ้าพระองค์ อยู่ใช่หรือไม่ ตรัสตอบว่า ใช่ ถามว่า พวกเหล่านั้นเห็นชีวะของพระองค์เข้าออกหรือไม่ ตรัสตอบว่า ไม่เห็น พระเถระจึงทูลว่า คนมีชีวิต ยังไม่เห็นชีวะของพระองค์ผู้ทรงพระชนมชีพอยู่เข้าออก เหตุไฉนพระองค์ จะทรงเห็นชีวะของคนตายเข้าออกเล่า.

                ๗. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ชั่งน้ำหนักดูเมื่อเป็น แล้วให้เอาเชือกรัดคอ ให้ตายแล้วชั่งดูอีก ในขณะที่เป็นมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่าเมื่อตายแล้ว เหตุนี้จึงไม่ทรง เชื่อเรื่องโลกอื่น พระเถระทูลถามว่า พึงชั่งก้อนเหล็กที่เผาไฟตลอดวัน ร้อนลุกโพลง กับก้อนเหล็กที่เย็น เทียบกันดู อย่างไหนจะเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า. ตรัสตอบว่า ก้อนเหล็กที่ประกอบกับธาตุไฟ ธาตุลม ร้อนลุกโพลง เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า พระเถระทูลต่อไปว่า ร่างกายก็เหมือนกัน ประกอบ ด้วยอายุ (เครื่องสืบต่อหล่อเลี้ยง) ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วยวิญญาณ ก็เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า.

๘. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ฆ่าโดยไม่กระทบกระทั่งผิวหนังเนื้อเอ็น,กระดูกเยื่อในกระดูก เพื่อจะดูชีวะออกไป (จากร่างเมื่อเขาทําอย่างนั้น และเมื่อโจรนั้นจะตายแน่ ก็สั่งจับให้นอนหงาย เพื่อจะดูชีวะออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไปสั่งให้จับนอนตะแคงทีละข้าง ให้ยกขึ้น ให้เอาศีรษะลง ให้ใช้ฝ่ามือก้อนดินท่อนไม้ศัสตราเคาะดูให้ดึงเข้า ให้ผลักออก ให้พลิกไปมา เพื่อจะดูชีวะออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป โจรนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ก็ไม่รู้สึกอายตนะนั้น ๆ (คือไม่รู้สึกเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะพระเถระทูล เปรียบเทียบถวายว่า เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์เดินทางไปชนบทชายแดนแห่งหนึ่ง เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววาง สังข์ไว้บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ชอบใจก็พากันมารุมถามว่าเสียงอะไร เขาตอบว่า เสียงสังข์นั้น ชาวบ้าน ก็จับสังข์หงาย พร้อมทั้งพูดว่า สังข์เอ๋ยจงเปล่งเสียง” แต่สังข์ก็ไม่เปล่งเสียง จึงจับคว่ำ จับตะแคง ยกขึ้น เอาหัวลง เอาฝ่ามือ ก้อนดินท่อนไม้ศัสตราเคาะ ดึงเข้ามา ผลักออกไป จับพลิกไปมา เพื่อจะให้ สังข์นั้นเปล่งเสียง สังข์นั้นก็ไม่เปล่งเสียง คนเป่าสังข์เห็นว่า คนเหล่านั้นเป็นคนบ้านนอก เป็นคนเขลา หาเสียงสังข์โดยไม่แยบคาย จึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้งให้เห็นแล้วก็หลีกไปคนเหล่านั้นจึงรู้ว่า สังข์นี้ ประกอบด้วยคน ประกอบด้วยความพยายาม ประกอบด้วยลม จึงเปล่งเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุเหล่านั้น ก็เปล่งเสียงไม่ได้กายก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยอายุ ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วยวิญญาณ จึงก้าวเดิน ถอยหลัง ยืน นั่ง นอนได้ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมะ (อารมณ์ที่เกิด กับใจได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยสิ่งเหล่านั้น ก็ทําอะไรไม่ได้

                ๙ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ตัดผิวหนังตัดหนังเนื้อเอ็นกระดูกเยื่อในกระดูก เพื่อจะดูชีวะ ก็ไม่เห็นชีวะ จึงไม่ทรงเชื่อว่าโลกอื่นมี เป็นต้นพระเถระทูลเปรียบเทียบ ถวายว่า มีชฏิล (นักบวชเกล้าผมเป็นเซิงผู้บูชาไฟรูปหนึ่ง อยู่ในกุฎี มุงด้วยใบไม้ในป่า พวกเดินทางพักแรม ชาวชนบทคณะหนึ่งออกเดินทางมาพักแรมคืน รอบอาศรมของชฏิลผู้บูชาไฟนั้นแล้วจากไป ชฏิลจึงเดิน ไปในที่ที่เขาพักแรมด้วยหวังว่าจะได้เครื่องใช้อะไรบ้าง ในที่นั้น (ที่เขาทิ้ง แต่อาจเป็นประโยชน์แก่ชฏิลผู้อยู่ป่าเมื่อเข้าไปก็เห็นเด็กแดง ๆ คนหนึ่ง เป็นเด็กชายนอนหงายอยู่ จึงนํามาเลี้ยงไว้จนเติบโต มีอายุได้ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี ต่อมาชฏิลมีธุระที่จะต้องไปในชนบท จึงเรียกเด็กมาสั่งให้บูชาไฟ (คอยเอาไฟใส่ในกองไฟอย่าให้ดับได้ ถ้าไฟดับ มีดอยู่นี่ ไม้อยู่นี่ ไม้สีไฟอยู่นี่ จงจุดไฟให้ติด บูชาไฟต่อไป เมื่อสั่งเสร็จและ ไปแล้ว เด็กมัวเล่นเพลินไป ไฟก็ดับเด็กคิดถึงคําสั่ง จึงเอามีดมาถากไม้สีไฟด้วยหวังจะได้ไฟ ก็ไม่ได้ไฟ จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก ๓ ซีก จนถึง ๒๐ ซีก ทําเป็นชิ้น ๆ ใส่ครกตํา แล้วเอามาโรยที่ลมด้วยหวังจะได้ ไฟ แต่ก็ไม่ได้ชฏิลกลับมาเห็นเช่นนั้น ถามทราบความแล้ว จึงคิดว่า เด็กนี้ยังอ่อน ไม่ฉลาด จะหาไฟโดย วิธีที่ไม่ถูกได้อย่างไร จึงเอาไม้สีไฟมาสีให้เด็กดูถึงวิธีทําไฟให้ติดพระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอื่น โดยวิธีที่ไม่ถูกในที่สุดได้แนะให้พระเจ้าปายาสิทรงสละความเห็นผิดนั้นเสีย

                แต่พระเจ้าปายาสิทรงอ้างว่า ทรงสละไม่ได้ เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระราชาในรัฏฐะอื่น ๆก็ทรงทราบกันทั่วไปว่าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ ก็จะพากันติเตียนได้ พระกุมารกัสสปเถระจึงยกอุปมาเพื่อจูงใจให้ทรงละความเห็นผิดนั้นๆแต่เมื่อยังไม่ทรงยอมก็ยกอุปมาอื่นอีกโดยนัยนี้เป็นอุปมา ๔ ข้อดังต่อไปนี้ :

              ๑. เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปภาคตะวันตก แล้วได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ให้ขบวนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน อีกขบวนหนึ่งจะตามไป ภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคนเดินสวนทางหลอกให้ทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ เล่าว่าข้างหน้าฝนตกในทางกันดาร พุ่มไม้ หญ้าไม้ และน้ำบริบูรณ์ หัวหน้ากองเกวียนหลงเชื่อจึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าทิ้งน้ำแล้ว ก็หาน้ำและหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวกไปที่หลังไม่ยอมเชื่อคนหลอก ไม่ยอมทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ จึงเดินทางข้ามทาง กันดารโดยสวัสดี แล้วเปรียบว่าพระองค์แสวงหาโลกอื่นโดยไม่แยบคาย จะพลอยให้คนที่เชื่อถือพากันถึงความพินาศไปด้วย เหมือนนายกองเกวียนคณะแรก.

                ๒เปรียบเหมือนชายเลี่ยงหมูคนหนึง่ไปสู่หมู่บ้านอื่นเห็นคูถ (อุจจาระแห้งที่เขาทิ้งไว้เป็นอันมากก็คลีผ้าห่มออกเอาคูถแห้งใส่แล้วห่อทูนเหนือศีรษะมาในระหว่างทางฝนตกคูถนั้นก็ไหลเลอะเปรอะไปคนทั้งหลายจึงพากันติเตียนว่าเป็นบ้าหรือไปแบกหอคูณมาทําไมเขากลับตอบว่าท่านต่างหากเป็นบ้าพราะของทิ่แบกมานี่เป็นอาหารของหมู.พระองค์ก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น ขอจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

                ๓เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คนเล่นสกากัน คนหนึ่งย่อมกลืนลูกโทษที่มาถึงตัว (หมายถึง ลูกสกาที่จะทําให้แพ้อีกคนหนึ่งบอกว่า ท่านชนะเรื่อยข้างเดียว ขอลูกสกาให้ข้าพเจ้าทําพิธีบ้าง คนชนะ จึงส่งให้ไปนักเลงคนที่ ๒ จึงเอายาพิษทาลูกสกา เมื่อเล่นครั้งที่ ๒ นักเลงสกาคนแรกก็กลืนลูกโทษที่มา ถึงนั้นอีก (และตายเพราะกลืนยาพิษเข้าไปด้วยพระองค์ก็เปรียบเหมือนนักเลงสกา (ที่กลืนยาพิษไปกับลูกสกาด้วยขอจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

                ๔เปรียบเหมือนชาย ๒ คนชวนกันไปยังชนบทเพื่อหาทรัพย์ ไปพบป่านในระหว่างทางก็ห่อป่าน เดินทางไป ครั้นไปพบด้ายทีทอจากป่าน คนหนึ่งเห็นด้ายมีราคากว่าก็ทิ้งป่านห่อด้ายไป อีกคนหนึ่งไม่ยอม ทิ้ง ดัวยถือว่าแบกมาไกลแล้ว ผูกรัดไว้ดีแล้ว โดยนัยนี้ไปพบผ้าเปลือกไม้ผ้าฝ้ายเหล็กโลหะดีบุก,ตะกั่วเงินทองคนหนึ่งทิ้งของเก่าถือเอาของใหม่ที่มีราคากว่าแต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้งถือว่าแบกมาไกลแล้วผูกรัดไว้ดีแล้วเมื่อกลับไปถึงบ้านบุตรภริยาเพื่อนฝูงของผู้แบกห่อป่านก็ไม่ชื่นชมแต่บุตรภริยาเพื่อนฝูงของผู้แบกห่อทองกลับมาต่างชื่นชมพระองค์จะเป็นอย่างผู้แบกห่อป่านขอจงทรงสละความเห็นผิด
นั้นเสียเถิด.

                พระเจ้าปายาสิทรงเลื่อมใสในพระกุมารกัสสปเถระ สรรเสริญภาษิต ประกาศพระองค์เป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงถามถึงวิธีบูชายัญ ซึ่งพระเถระก็ถวายคําแนะนําให้ บูชาโดยไม่มีการฆ่าสัตว์ พระเจ้าปายาสิก็ทรงปฏิบัติตาม โดยให้มีการแจกทาน (ทํางานสังคมสงเคราะห์แล้วเพิ่มของที่ให้ดีขึ้นโดยลําดับ


จบความย่อแห่งพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น