พระไตรปิฎก - พระสุตตันตปิฎก - มหาปทานสูตร
มหาปทานสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่10 ทีฆนิกายมหาวัคค์เป็นที่รวมแห่งพระสูตรขนาดยาว
๑.มหาปทานสูตร
สูตรว่าด้วยข้ออ้างใหญ่
********************************************************************************************
พระผู้มีพระภาคประทับณกเรริกุฎี(กุฎีมีมณฑปทําด้วยไม้กุมตั้งอยู่เบื้องหน้า) ในเชตวนารามของอนาถปิณฑิกคฤหบดี
ใกล้กรุงสาวัตถี.ณ โรงโถงที่ทําด้วยไม้กุ่มนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายผู้สนทนากันถึงเรื่อง “ปุพเพนิวาส"
คือความเป็นไปในชาติก่อน โดยทรงเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าในอดีต ๖
พระองค์ รวมทั้งพระองค์เองด้วยเป็น ๗ พระองค์ดังต่อไปนี้: ๑. พระวิปัสสี
พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในกัปป์ที่ ๓๑ ก่อนหน้ากัปป์ปัจจุบันนี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า โกณฑัญญะ มีประมาณแห่งอายุ ๘ หมื่นปี ตรัสรู้ ณ โคนไม้แคฝอย มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่าขัณฑะ กับติสสะ มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง การประชุมสาวก มีภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสนรูปครั้งหนึ่ง มีภิกษุ๑ แสนรูปครั้งหนึ่ง มีภิกษุ ๘ หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสามครั้งมีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐากชื่ออโสกะมีพระพุทธบิดาพระนามว่าพันธุมาพระพุทธมารดาพระนามว่าพันธุมตี มีพันธุมตีนครเป็นราชธานี
๒. พระสิขี
พระสิขีพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลกษัตริย์
ในกัปป์ที่ ๓๑ ก่อนหน้ากัปป์ปัจจุบันนี้ มีพระนามโดย พระโคตรว่า โกณฑิญญะ
มีประมาณแห่งอายุ ๗ หมื่นปี ตรัสรู้ ณ โคนต้นบุณฑรีก มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า
อภิภู กับสมภวะ มีการประชุมอัครสาวก ๓ การประชุมสาวกมีภิกษุ ๑ แสนรูปครั้งหนึ่ง ๒หมื่นรูป ครั้งหนึ่ง ๗
หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสามครั้ง มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก
ชื่อเขมังกระ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า อรุณะ พระพุทธมารดาพระนามว่า ปภาวตี
มีอรุณวตีนครเป็นราชธานี.
๓.พระเวสสภู
พระเวสสภูพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในกัปป์ที่ ๓๑ ก่อนหน้ากัปป์ปัจจุบันนี้ มีพระนาม โดยพระโคตรว่า โกณฑ์ญญะ มีประมาณแห่งอายุ ๖ หมื่นปี ตรัสรู้ที่โคนไม้สาละ มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า โสณะกับอุตตระ มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง การประชุมสาวกมีภิกษุ ๘ หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ๗ หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ๖ หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสามครั้ง. มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่ออุปสันตะ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า สุปปตีตะ พระพุทธมารดาพระนามว่า ยสวตี มีอโนมนครเป็นราชธานี
๔. พระกกุสันธะ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์ ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๔ หมื่นปี, ตรัสรู้ ณ โคนไม้ซึก มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า วิธูระ กับสัญชีวะ มีการ ประชุมสาวกครั้งเดียว มีภิกษุ ๔ หมื่นรูป ล้วนเป็นพระขีณาสพ. มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก มีพระพุทธบิดาเป็นพราหมณ์นามว่า อัคคิทัตตะ มีพระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า วิสาขา มีเขมวตีนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี.
๕. พระโกนาคมนะ
พระโกนาคมนพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์
ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๓ หมื่นปี, ตรัสรู้ ณ โคนไม้มะเดื่อ มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า ภิยโยสะ กับ อุตตระ
มีการประชุมสาวกครั้งเดียว มีภิกษุ ๓ หมื่นรูป ล้วนเป็นพระขีณาสพ. มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อโสตถิชะ มีพระพุทธบิดาเป็นพราหมณ์นามว่า
ยัญญทัตตะ พระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า อุตตรา.มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี.
๖. พระกัสสปะ
พระกัสสปพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์
ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๒ หมื่นปี ตรัสรู้
ณ โคนไม้นิโครธ (ไทร) มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า ติสสะ กับภารัทวาชะ,
มีการประชุมสาวกครั้งเดียว มีภิกษุ ๒ หมื่นรูป ล้วนเป็นพระขีณาสพ.
มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อ สัพพมิตตะ
มีพระพุทธบิดาเป็นพราหมณ์นามว่า พรหมทัตตะ พระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า ธนวตี
มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี.
๗. พระองค์เอง (พระโคตมะ)
พระองค์เองทรงสมภพในสกุลกษัตริย์
ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า โคตมะ มี ปริมาณแห่งอายุน้อย
ผู้ใดมีชีวิตอยู่นานก็เพียง ๑๐๐ ปี ที่เกินกว่านั้นมีน้อย ตรัสรู้ ณ
โคนไม้อัสสัตถะ (โพธิ์) มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า สาริบุตร กับโมคคัลลานะ
มีการประชุมสาวกครั้งเดียว มีภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป
ล้วนเป็นพระขีณาสพ. มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่ออานนท์
มีพระพุทธบิดาพระนามว่า สุทโธทนะ พระพุทธมารดาพระนามว่า มายา
มีกบิลพัสดุนครเป็นราชธานี. เมื่อตรัสเล่าอย่างนี้แล้ว
ก็เสด็จจากอาสนะเข้าสู่วิหาร ต่อมาได้ตรัสเล่าประวัติพระวิปัสสีพุทธเจ้า
โดยแสดงว่าเป็นธรรมดาของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า ดังต่อไปนี้ :ธรรมดาของพระโพธิสัตว์
๑. พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิต มีสติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา.
๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดาจะมีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏในโลก, หมื่นโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
๓. มีเทพบุตร ๔
ตนมาอารักขาทั้งสี่ทิศเพื่อป้องกันมนุษย์และอมนุษย์มิให้เบียดเบียนพระโพธิสัตว์หรือพระมารดา.
๔. พระมารดาพระโพธิสัตว์ทรงตั้งอยู่ในศีล ๕ โดยปกติ.
๕. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่ทรงมีความรู้สึกทางกามในบุรุษทั้งหลาย
และจะเป็นผู้อันบุรุษใด ๆ ผู้มีจิตกําหนัดก้าวล่วงไม่ได้.
๖. พระมารดาพระโพธิสัตว์มีลาภ บริบูรณ์ตัวยกามคุณ ๕ (รูป,
เสียง, กลิน, รส
โผฏฐัพพะ).
๗. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่มีโรค
มองเห็นพระโพธิสัตว์ในพระครรภ์เหมือนเห็นเส้นด้ายในแก้ว ไพฑูรย์ (ตั้งแต่ข้อ ๓ ถึง ๗ หมายถึงระหว่างทรงพระครรภ์).
๘. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วันแล้ว พระมารดาย่อมสวรรคต
เข้าสู่สวรรค์ชันดุสิต,
๙. สตรีคืนบริหารครรภ์ ๙
เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้างจึงคลอดส่วนมารดาพระโพธิสัตว์บริหารพระครรภ์ ๑๐
เดือนพอดีจึงคลอด.
๑๐. สตรีอื่นนั่งหรือนอนคลอดส่วนมารดาพระโพธิสัตว์ยืนคลอด,
๑๑. เมื่อประสูติ เทวดารับก่อนมนุษย์รับภายหลัง.
๑๒. เมื่อประสูติจากพระครรภ์
ยังไม่ทันถึงพื้นเทพบุตร ๔ ตนจะรับวางไว้เบื้องหน้าพระมารดาและบอกให้ทราบว่าพระโอรสที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่
๑๓. เมื่อประสูติ พระโพธิสัตว์เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดไม่แปดเปื้อนตัวยคัพภมลทิน.
๑๔. เมื่อประสูติ จะมีธารน้ำร้อนน้ำเย็นตกลงมาสนานพระกายพระโพธิสัตว์และพระมารดา,
๑๕. ทันใดทีประสูติ พระโพธิสัตว์จะผินพระพักตร์ทางทิศเหนือดําเนินด้วยพระบาท
๗ ก้าวเปล่งพระวาจาประกาศเรื่องที่จะทรงเป็นเลิศในโลก
และเรื่องชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย.
๑๖. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ
จะมีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏในโลก และหมื่นโลกธาตุสะเทือน สะท้าน
วิปัสสีกุมารประสูติจนถึงเสด็จออกผนวช
เมื่อวิปัสสีกุมารประสูติแล้ว
พระเจ้าพันธุมา พุทธบิดา ก็ตรัสให้เชิญพวกพราหมณ์ผู้รู้ลักษณะมา ทํานาย, พวกพราหมณ์พิจารณาแล้วกราบทูลว่า พระราชกุมารประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒
ประการ ถ้าครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าเสด็จออกผนวช จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระราช บิดาจึงให้ถนอมเลี้ยงพระราชกุมารเป็นอันดี
พระราชกุมารนั่งบนตักของพระราชบิดาในการวินิจฉัยอรรถคดี
ก็ทรงพิจารณาวินิจฉัยได้ดีดัวยพระญาณปรีชา จึงได้รับขนานนามว่า “วิปัสสี” (ผู้เห็นแจ้ง).
ต่อจากนั้นเล่าเรื่องวิปัสสีกุมารเสด็จสู่ราชอุทยาน
พร้อมด้วยนายสารถี ได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช จึงเสด็จออกผนวช.
ตรัสรู้และแสดงธรรม
เมื่อผนวชแล้ว
ทรงพิจารณาหลักธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุที่ เกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่) ทรงพิจารณาความเกิด
ความดับแห่งขันธ์ ๕ ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้งแรกจะทรงงดแสดงธรรม เพราะเห็นว่า ธรรมะที่ตรัสรู้นั้นลึกซึ้ง
แต่ในที่สุดทรงเห็นว่า ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็มี จึงทรงแสดงธรรม
และได้โปรดราชบุตรชื่อขัณฑะ และปุโรหิตชื่อติสสะ ให้ได้ดวงตา เห็นธรรม
ขอบรรพชาอุปสมบท และได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ต่อมาได้มีผู้ออกบวชมากขึ้น
จึงทรง ส่งสาวกไปประกาศศาสนา ต่อเมื่อครบ ๖ ปี จึงให้กลับมากรุงพันธุมตี
เพื่อฟังปาฏิโมกข์ ซึ่งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในภิกษุสงฆ์ (มีเนื้อความเช่นเดียวกับโอวาทปาฏิโมกข์).
ทรงแสดงว่าเรื่องเหล่านี้นอกจากทรงทราบด้วยพระองค์เอง
เพราะทรงเข้าใจแจ่มแจ้งซึ่งธรรมธาตุ เป็นอย่างดี
แม้เทพดาก็เคยมากราบทูลเรื่องเหล่านี้ เช่น ในสมัยที่ประทับ ณ
โคนไม้สาละใหญ่ในสุภวัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา.
๑. พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิต มีสติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา.
๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดาจะมีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏในโลก, หมื่นโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
๓. มีเทพบุตร ๔
ตนมาอารักขาทั้งสี่ทิศเพื่อป้องกันมนุษย์และอมนุษย์มิให้เบียดเบียนพระโพธิสัตว์หรือพระมารดา.
๔. พระมารดาพระโพธิสัตว์ทรงตั้งอยู่ในศีล ๕ โดยปกติ.
๕. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่ทรงมีความรู้สึกทางกามในบุรุษทั้งหลาย
และจะเป็นผู้อันบุรุษใด ๆ ผู้มีจิตกําหนัดก้าวล่วงไม่ได้.
๖. พระมารดาพระโพธิสัตว์มีลาภ บริบูรณ์ตัวยกามคุณ ๕ (รูป,
เสียง, กลิน, รส
โผฏฐัพพะ).
๗. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่มีโรค
มองเห็นพระโพธิสัตว์ในพระครรภ์เหมือนเห็นเส้นด้ายในแก้ว ไพฑูรย์ (ตั้งแต่ข้อ ๓ ถึง ๗ หมายถึงระหว่างทรงพระครรภ์).
๘. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วันแล้ว พระมารดาย่อมสวรรคต
เข้าสู่สวรรค์ชันดุสิต,
๙. สตรีคืนบริหารครรภ์ ๙
เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้างจึงคลอดส่วนมารดาพระโพธิสัตว์บริหารพระครรภ์ ๑๐
เดือนพอดีจึงคลอด.
๑๐. สตรีอื่นนั่งหรือนอนคลอดส่วนมารดาพระโพธิสัตว์ยืนคลอด,
๑๑. เมื่อประสูติ เทวดารับก่อนมนุษย์รับภายหลัง.
๑๒. เมื่อประสูติจากพระครรภ์
ยังไม่ทันถึงพื้นเทพบุตร ๔ ตนจะรับวางไว้เบื้องหน้าพระมารดาและบอกให้ทราบว่าพระโอรสที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่
๑๓. เมื่อประสูติ พระโพธิสัตว์เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดไม่แปดเปื้อนตัวยคัพภมลทิน.
๑๔. เมื่อประสูติ จะมีธารน้ำร้อนน้ำเย็นตกลงมาสนานพระกายพระโพธิสัตว์และพระมารดา,
๑๕. ทันใดทีประสูติ พระโพธิสัตว์จะผินพระพักตร์ทางทิศเหนือดําเนินด้วยพระบาท
๗ ก้าวเปล่งพระวาจาประกาศเรื่องที่จะทรงเป็นเลิศในโลก
และเรื่องชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย.
๑๖. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ
จะมีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏในโลก และหมื่นโลกธาตุสะเทือน สะท้าน
วิปัสสีกุมารประสูติจนถึงเสด็จออกผนวช
เมื่อวิปัสสีกุมารประสูติแล้ว
พระเจ้าพันธุมา พุทธบิดา ก็ตรัสให้เชิญพวกพราหมณ์ผู้รู้ลักษณะมา ทํานาย, พวกพราหมณ์พิจารณาแล้วกราบทูลว่า พระราชกุมารประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒
ประการ ถ้าครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าเสด็จออกผนวช จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระราช บิดาจึงให้ถนอมเลี้ยงพระราชกุมารเป็นอันดี
พระราชกุมารนั่งบนตักของพระราชบิดาในการวินิจฉัยอรรถคดี
ก็ทรงพิจารณาวินิจฉัยได้ดีดัวยพระญาณปรีชา จึงได้รับขนานนามว่า “วิปัสสี” (ผู้เห็นแจ้ง).
ต่อจากนั้นเล่าเรื่องวิปัสสีกุมารเสด็จสู่ราชอุทยาน
พร้อมด้วยนายสารถี ได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช จึงเสด็จออกผนวช.
ตรัสรู้และแสดงธรรม
เมื่อผนวชแล้ว
ทรงพิจารณาหลักธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุที่ เกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่) ทรงพิจารณาความเกิด
ความดับแห่งขันธ์ ๕ ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้งแรกจะทรงงดแสดงธรรม เพราะเห็นว่า ธรรมะที่ตรัสรู้นั้นลึกซึ้ง
แต่ในที่สุดทรงเห็นว่า ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็มี จึงทรงแสดงธรรม
และได้โปรดราชบุตรชื่อขัณฑะ และปุโรหิตชื่อติสสะ ให้ได้ดวงตา เห็นธรรม
ขอบรรพชาอุปสมบท และได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ต่อมาได้มีผู้ออกบวชมากขึ้น
จึงทรง ส่งสาวกไปประกาศศาสนา ต่อเมื่อครบ ๖ ปี จึงให้กลับมากรุงพันธุมตี
เพื่อฟังปาฏิโมกข์ ซึ่งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในภิกษุสงฆ์ (มีเนื้อความเช่นเดียวกับโอวาทปาฏิโมกข์).
ทรงแสดงว่าเรื่องเหล่านี้นอกจากทรงทราบด้วยพระองค์เอง
เพราะทรงเข้าใจแจ่มแจ้งซึ่งธรรมธาตุ เป็นอย่างดี
แม้เทพดาก็เคยมากราบทูลเรื่องเหล่านี้ เช่น ในสมัยที่ประทับ ณ
โคนไม้สาละใหญ่ในสุภวัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น