พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-ชนวสภสูตร
ชนวนสภสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่10 ทีฆนิกายมหาวัคค์เป็นที่รวมแห่งพระสูตรขนาดยาว
๕.ชนวสภสูตร
สูตรว่าด้วยยักษ์ชื่อชนวสภะ
(พระสูตรนี้ก็มีข้อความขยายความแห่งมหาปรินิพพานสูตรเช่นเดียวกันคือเล่าเรื่องที่พระผู้มีพระภาคตรัสเมื่อประทับณโรงพักคนเดินทางทําด้วยอิฐที่นาทิกคามระหว่างเสด็จสู่กรุงเวสาลี).
********************************************************************************************
พระอานนท์กราบทูลถามถึงว่า ผู้นั้นผู้นี้ตายแล้วไปเกิดในที่ไหน
และพระผู้มีพระภาคตรัสตอบเป็นราย ๆ ไป
ในส่วนที่เกี่ยวกับพระเจ้าพิมพิสาร
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าว่า ได้มาปรากฎต่อพระองค์ ประกาศ ตนว่าไปเกิดเป็นยักษ์ชื่อชนวสภะ
และว่าตนมีความหวังจะได้บรรลุความเป็นพระสกทาคามี (คือพระเจ้า พิมพิสารเป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว
จึงหวังจะได้บรรลุขั้นต่อไป คือการเป็นพระสกทาคามี ได้แก่พระอริยบุคคล
ผู้จะมาเกิดเพียงครั้งเดียว) แล้วเล่าว่า
ตนได้เคยไปประชุมที่ธรรมสภาในดาวดึงสเทวโลก ได้เห็นว่าผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ซึ่งไปเกิดในที่นั้นรุ่งเรืองเหนือเทพอื่น ๆ
ทั้งโดยผิวพรรณ และโดยยศ พร้อม ทั้งได้เล่าถึงภาษิตต่าง ๆ ของสนังกุมารพรหม
ซึ่งกล่าวในธรรมสภา มีใจความดังต่อไปนี้ :
๑. ผู้ถึงพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ทําให้บริบูรณ์ในศีล ย่อมเข้าถึงความเป็น
สหายของเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี (สูงสุดในชั้นกาม) ลงมาถึงชั้นจาตุมหาราช (เทพประจําทิศทั้งสี่)
อย่างต่ำที่สุด ก็เป็นคนธรรพ์ (เทพที่สิงอยู่
ณ ต้นไม้).
๒. อิทธิบาท (คุณให้บรรลุความสําเร็จ ๔ อย่าง) ทําให้สมณพราหมณ์ในอดีต
อนาคต ปัจจุบัน แสดงฤทธิ์ได้ต้วยประการต่าง ๆ.
๓. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้โดยลําดับ
ซึ่งการบรรลุโอกาส ๓ เพื่อบรรลุความสุข, โอกาส ๓ คือ:
๑. คนที่เคยคลุกคลีด้วยกาม ด้วยอกุศลธรรม
ภายหลังไม่คลุกคลี ย่อมได้สุขโสมนัส (สุขกาย สุขใจ หมายถึง
บรรลุฌานที่ ๑) ๒. คนที่มีเครื่องปรุงกาย
เครื่องปรุงวาจา เครื่องปรุงจิตอันหยาบ อันไม่สงบระงับ ภายหลัง สงบระงับได้
ย่อมได้สุขโสมนัสยิ่งขึ้น (หมายถึงได้บรรลุฌานที่ ๒ ถึงที่ ๔).
๓ คนที่ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นกุศล อกุศล, มีโทษ,
ไม่มีโทษ, ควรเสพ, ไม่ควรเสพ,
เลว, ประณีต, ดํา,
ขาว และมีส่วนเปรียบ ตามความเป็นจริง
ภายหลังได้สดับอริยธรรมปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
จึงรู้จักสิ่งเหล่านั้นตามความจริงก็จะละอวิชชาเสียได้ วิชชาก็จะเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีสุขโสมนัสยิ่งขึ้น (หมายถึงได้บรรลุอรหัตตมรรคอรหัตตผล)
๔. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสติปัฏฐาน
(การตั้งสติ) ๔ อย่างไว้ดีแล้ว (ทรงแสดงการตั้งสติพิจารณา กาย, เวทนา, จิต, ธรรม ทั้งภายในภายนอก).
๕. ธรรม ๗ ประการ คือ ความเห็นชอบ, ความดําริชอบ, การเจรจาชอบ, การกระทําชอบ, การ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ, การตั้งสติชอบ เป็นบริขารของสมาธิ เป็นไปเพื่อเจริญสมาธิ ทําสมาธิให้ บริบูรณ์, ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง อันแวดล้อมด้วยองค์ ๗ เหล่านี้ ชื่อว่าอริยสมาธิ อันเรียกว่า มี อุปนิสัย (บริวาร) บ้าง มีบริขาร (เครื่องประกอบ) บ้าง.
หมายเหตุ:- ในพระสูตรนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับเทวดาและสวรรค์เป็นเรื่องที่พึงศึกษาและพิจารณา แต่ สาระสําคัญเห็นได้ว่า อยู่ที่ข้อธรรมอันพึงปฏิบัติที่ย่อไว้ รวม ๕ ข้อดังกล่าวมาแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น