พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-ปาฏิกสูตร
ปาฏิกสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่11 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เป็นพระสูตรขนาดยาว
๑.ปาฎิกสูตร
สูตรว่าด้วยชีเปลือยบุตรแห่งปาฏิกะ
(ช่างทําถาด)
*********************************************************************************
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคมชื่ออนุปปิยะ
แคว้นมัลละ เช้าวันหนึ่งเสด็จออกบิณฑบาต แต่ยังเช้าอยู่
จึงเสด็จแวะไปยังอารามของภัคควโคตรปริพพาชก ตรัสสนทนากับภัคควโคตรปริพพาชก
ผู้ทูลถาม เรื่องบุตรลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ผู้เข้ามาบวชแล้วสึกไป โดยให้เหตุผลว่า :
๑. ตนจะไม่อยู่อุทิศพระผู้มีพระภาคต่อไป.
๒. เพราะพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ดู
๓. เพราะไม่ทรงบัญญัติสิ่งที่เป็นเลิศ
(ไม่ชี้สิ่งประเสริฐสุด
หรือสิ่งที่เป็นต้นเดิมของสิ่งทั้งหลายว่าได้แก่อะไร)
ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าว่า
ในข้อ ๑ พระองค์ได้ตรัสถามเขาว่าพระองค์ได้เคยขอร้องให้เขามาอยู่อุทิศพระองค์หรือว่าเขาเคยเข้ามากราบทูลว่า
จะอยู่อุทิศพระองค์บ้างหรือเปล่า เขาตอบว่า เปล่า.เมื่อเป็นเรื่องเปล่าจึงมิใช่เรื่องที่ใครจะบอกเลิกใคร.
ในข้อ ๒ ตรัสถามเขาว่า
พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่าจงมาอยู่อุทิศพระองค์เถิด
แล้วพระองค์จะทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ดู ก็ตอบว่า เปล่า, ตรัสถามต่อไปว่า ถ้าแสดงฤทธิ์ให้ดูหรือไม่แสดงก็ตาม
จะทําให้สิ้นทุกข์ได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ทําให้สิ้นทุกข์ได้ จึงตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้น การแสดงฤทธิ์จะทําอะไรได้
ในข้อ ๓ ตรัสถามเขาว่า
พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่าจงมาอยู่อุทิศพระองค์เถิด แล้วพระองค์จะทรงบัญญัติสิ่งที่เลิศแก่เขา
เขาตอบว่า เปล่า ตรัสถามต่อไปว่า จะบัญญัติสิ่งที่เลิศหรือไม่ก็ตาม
จะทําให้สิ้นทุกข์ได้ หรือไม่ ตอบว่า ไม่ทําให้สิ้นทุกข์ได้ จึงตรัสว่า
ถ้าอย่างนั้น การบัญญัติสิ่งที่เลิศจะทําอะไรได้ อนึ่ง ได้ตรัส (เป็นเชิงทบทวนความทรงจํา)
ว่า สุนักขัตตะเคยกล่าวพรรณนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้
เป็นอเนกประการในวัชชีคาม.
เรื่องชีเปลือยชื่อโกรักขัตติยะ
ตรัสเล่าต่อไปว่า
เคยตรัสแก่สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ถึงชีเปลือยชื่อโกรักขัตติยะ ผู้ประพฤติวัตรดังลูก
สุนัข คือลงคลาน ๔ เท้า กินอาหารที่ตกอยู่บนพื้นดิน ด้วยใช้ปากงับ (ไม่ใช้มือหยิบเข้าปาก)
ว่าจะตายด้วยโรค ท้องอึดในวันที่ ๗ แล้วถูกนําไปทิ้งในป่าช้า
ซึ่งมีกอหญ้าคมบาง สุนักขัตตลิจฉวีจึงไปหาชีเปลือยชื่อโกรักขัตติยะ
เล่าคําของเราให้ฟัง แล้วแนะให้บริโภคอาหารพอประมาณ ดื่มน้ำพอประมาณ
เพื่อจะให้ถ้อยคําของเรา คลาดเคลื่อน ครั้นในวันที่ ๗
ชีเปลือยนั้นก็ตายและถูกนําไปทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งมีกอหญ้าคมบาง เราจึงย้อนถาม
สุนักขัตตลิจฉวีว่า ที่เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าเราแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วหรือยัง
สุนักขัตตลิจฉวีก็รับว่าแสดงแล้ว
เรื่องชีเปลือยชื่อกฬารมัชฌกะ
ตรัสเล่าถึงซีเปลือยชื่อกพารมัชฌกะผู้เลิศด้วยลาภยศอาศัยอยู่ในวัชชีคามใกล้กรุงเวสาลี เป็นผู้ถือข้อปฏิบัติ ๗ ประการคือ
๑. เปลือยกาย
๒. ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนธรรม
๓. ดื่มสุราและกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิตไม่กินข้าวสุกขนมสด
๔. ไม่ล่วงเกินอุเทนเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศบูรพา (ตะวันออก)
๕. ไม่ล่วงเกินโคตมกเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศทักษิณ (ใต้)
๖. ไม่ล่วงเกินสัตตัมพเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศประจิม (ตะวันตก)
๗. ไม่ล่วงเกินพหุปุตตกเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศอุดร (เหนือ) ของกรุงเวสาลี
เราเคยกล่าวกะสุนักขัตตลิจฉวีว่ากฬารมัชฌกะจะนุ่งผ้ามีภริยากินข้าวสุกขนมสด (เพิ่มขึ้นจากสุราและเนื้อสัตว์) ล่วงเกินเจดีย์ ทั้งปวงในกรุงเวสาลี เสื่อมจากยศและตายเหตุการณ์ก็เป็นจริงดั่งที่เรากล่าว. เราจึงถามสุนักขัตตลิจฉวีว่าที่เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าเราแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วหรือยัง. สุนักขัตตลิจฉวีก็รับว่าแสดงแล้ว.
เรื่องชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตร
ตรัสเล่าถึงชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตรผู้เลิศด้วยลาภยศอาศัยอยู่ในวัชชีคามใกล้กรุงเวสาลี, ซีเปลือยผู้นี่เปล่งวาจาในท่ามกลางบริษัทว่าพระสมณโคดมเป็นญาณวาทะ (ผู้กล่าวรับรองญาณความรู้) ตนก็เป็นญาณ-วาทะควรจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วยกันได้. พระสมณโคดมมาครึ่งทางตนจะไปครึ่งทาง. พระสมณโคดมแสดงอิทธิปาฏิหาริย์กี่อย่างตนก็จะแสดงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ. เมื่อสุนักขัตตลิจฉวีมาเล่าให้ฟังเราจึงกล่าวชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตรไม่ละทิ้งถ้อยคํานั้นความคิดนั้นไม่สละความเห็นนั้นก็ไม่ควรมาอยู่ต่อหน้าเราถ้าขืนมาศีรษะก็จะแตก. สุนักขัตตลิจฉวีขอให้เรารักษาถ้อยคําที่เราพูดไว้ เราจึงให้สุนักขัตตลิจฉวีไปบอกแก่ชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตร, เช้าวันรุ่งขึ้นเมือกลับจากบิณฑบาตในกรุงเวสาลี เราจึงเข้าไปพักกลางวันในอารามของชีเปลือยชือปาฏิกบุตร. สุนักขัตตลิจฉวีก็รีบเทียวไปบอกพวกกษัตริย์ลิจฉวี รวมทั้งพราหมณมหาศาลคฤหบดีมหาศาลและสมณพราหมณ์ เจ้าลัทธิต่างๆให้รีบไปดูการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ระหว่างเรากับซีเปลือย
เมื่อชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตรทราบว่ามีคนมาประชุมเพื่อจะคอยตู ก็ตกใจกลัว จึงเดินทางไปยังอาราม ของปริพพาชกชื่อติณฑกขานุ (ตอไม้มะพลับ) พวกบริษัทก็ไปตาม พูดขอร้องให้ไปแสดงตัว ชีเปลือยผู้นั้นก็พูดว่าจะไปแต่กระเสือกกระสนอยู่ในที่นั้นลุกขึ้นไม่ได้, มหาอํามาตย์ของเจ้าลิจฉวีไปตามเขาก็พูดอย่างนั้นแต่ลุกขึ้นไม่ได้, ชาลิยะศิษย์ของปริพพาชกผู้ใช้บาตรไม้ จึงไปตามและพูดว่าอย่างเจ็บๆแต่ก็ไม่ สําเร็จชีเปลือยไม่ยอมไปแสดงตัว. เราจึงแสดงธรรมแก่บริษัททีไปประชุมนั้นแล้วกลับทีพัก. และเราได้ถามสุนักขัตตลิจฉวีว่าทีเป็นอย่างนี้ ซื่อว่าเราแสตงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วหรือยัง. สุนักขัตตลิจฉวีก็รับว่าแสดงแล้ว,
ตรัสต่อไปว่า “เรารู้จักสิงที่เลิศรู้จักสิ่งที่เลิศยิ่งขึ้นไปกว่านั้นแต่รู้แล้วก็ไม่ยึดถือเมื่อไม่ยึดถือกรู้แจ้งนิพพานเฉพาะตนเมื่อรู้จึงไม่ประสบความเสื่อม. ต่อไปนี้ :
๑. สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่เลิศอันเป็นคําสอนของอาจารย์ คือเรื่องที่พระอิศวร สร้าง (อิสสรกุตตะ) พระพรหมสร้าง (พรหมกุตตะ) คือเมื่อโลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป บางครั้งพรหมวิมานว่าง ไม่มีใคร ผู้ที่ไปเกิดในที่นั้นคนแรกก็นึกว่าตนเป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไปเกิดทีหลังก็นึกว่าตนเป็นผู้ที่มหาพรหมสร้างขึ้น ต่อมาพวกเหล่านั้นมาเกิดในโลกนี้ ออกบวชบําเพ็ญเพียร ระลึกชาติได้ ก็เอาความเข้าใจสมัยที่ เกิดในพรหมโลกนั้นมากล่าวว่า มีผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง
๒.สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่เลิศอันเป็นคําสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเทพพวกชิฑฑาปโทสิกะ(ผู้เสียหายหรือมีโทษเพราะการเล่น) คือเมื่อมาออกบวชบําเพ็ญเพียร ระลึกชาติได้ว่า ตนเคยเป็นเทพ พวกขิฑฑาปโทสิกะ ต้องจุติ คือพ้นฐานะเดิม เพราะการเล่นสนุกสนาน จึงเห็นว่าเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกขิฑฑาปโทสิกะไม่เที่ยง
๓.สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่เลิศอันเป็นคําสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเทพพวกมโนปโทสิกะ (ผู้เสียหายหรือมีโทษ เพราะคิดร้ายผู้อื่น) คือเมื่อมาออกบวชบําเพ็ญเพียร ระลึกชาติได้ว่า ตนเคยเป็นเทพพวก มโนปโทสิกะ ต้องจุติ คือพ้นฐานะเดิม เพราะคิดร้ายผู้อื่น จึงเห็นว่าเทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกมโนปโทสิกะไม่เที่ยง
๔. สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่เลิศอันเป็นคําสอนของอาจารย์เกี่ยวกับการมีเป็นขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนะ) คือเมื่อมาออกบวชบําเพ็ญเพียร ระลึกชาติได้ว่า ตนเคยมีสัญญาเกิดขึ้น ขณะเป็นอสัญญีสัตว์ ไม่มีสัญญาพอเกิดสัญญาขึ้นก็จุติ จึงระลึกได้ สิ้นสุดลงเพียงเมื่อจะจุติเท่านั้นย้อนหลังไปกว่านั้นไม่เห็นมีอะไร จึงเห็นว่าสิงต่าง ๆ มีขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ
(ข้อบัญญติทั้งสิ้นเป็นทิฏฐิความเห็นที่มีมูลฐานมาจากความรู้เพียงเปลาะใดเปลาะหนึ่งไม่รู้ตลอดสายทําให้เข้าใจผิด). ครั้นแล้วตรัสเรื่องสุภวิโมกข์ (ซึ่งอรรถกถาอธิบายว่า การบําเพ็ญกสิณ คือการเพ่งรูปนิมิต แบบใช้สี เป็นอารมณ์) เมื่อจบพระพุทธดํารัส ภัคควโคตรปริพพาซกชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค.
(หมายเหตุ: เป็นอันทรงตอบข้อกล่าวหาของสุนักขัตตลิจฉวี ที่ว่าไม่ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ และ ไม่แสดงสิงที่เลิศ หรือสิ่งที่เป็นต้นเดิมของสิ่งทั้งหลายว่าได้ทรงแสดงแล้วอย่างไร).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น