พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-สักกปัญหสูตร
สักกปัญหสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่10 ทีฆนิกายมหาวัคค์เป็นที่รวมแห่งพระสูตรขนาดยาว
๘. สักกปัญหสูตร
สูตรว่าด้วยปัญหาของท้าวสักกะ
**********************************************************************************
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ถ้ำอินทสาละ
ใกล้เวทยิกบรรพต ทางทิศเหนือของหมู่บ้านพราหมณ์ ชื่ออัมพสณฑ์
ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
ท้าวสักกะใคร่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
จึงเรียกปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์มา ชวนให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยกัน ปัญจสิขะถือพิณมีสีเหลืองเหมือนผลมะตูมไปด้วย
เมื่อไปถึงที่ประทับแล้ว ท้าวสักกะจึงให้
ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์หาทางทําความพอพระทัยให้พระผู้มีพระภาคก่อนที่จะได้เข้าเฝ้า.
ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์ถือพิณเข้าไปยืน
ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ไม่ไกลหรือใกล้เกินไป ดีดพิณ กล่าว คาถาเกี่ยวด้วยพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์ และกาม.
พระผู้มีพระภาคตรัสชมแก่ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์ว่า
เสียงพิณกับเสียงเพลงขับเข้ากันดี แล้วตรัส ถามว่า คาถาอันเกี่ยวด้วยพระพุทธ
เป็นต้นนี้ แต่งไว้แต่ครั้งไร ปัญจสิขะกราบทูลว่า
ตั้งแต่ครั้งพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับที่ต้นอชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งน้ำเนรัญชรา.
ครั้นได้โอกาส
ท้าวสักกะพร้อมด้วยบริวารก็เข้าไปเฝ้า เมื่อได้ตรัสสัมโมทียกถาพอสมควรแล้ว
พระผู้มีพระภาคก็ทรงเปิดโอกาสให้ท้าวสักกะกราบทูลถามปัญหาได้
ต่อไปนี้เป็นคําถามและพระพุทธดํารัสตอบ
๑. ถาม : เทวา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และหมู่สัตว์เป็นอันมากอื่น ๆ ถูกอะไรผูกมัด
แม้ตั้งใจว่าจะไม่จองเวร ไม่ใช้อาชญา ไม่มีศัตรู ไม่เบียดเบียน อยู่อย่างไม่มีเวร
แต่ก็ต้องจองเวร ใช้อาชญา มีศัตรู เบียดเบียน และอยู่อย่างมีเวร.
ตอบ : มีความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกมัด
๒.ถาม
: ความริษยาและความตระหนี่เกิดจากอะไร.
ตอบ : เกิดจากสิ่งเป็นที่รักและสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
เมื่อไม่มีสิ่งเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักก็ไม่มี ความริษยาและความตระหนี่
๓. ถาม : สิ่งเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเกิดจากอะไร.
ตอบ : เกิดจากความพอใจ
เมื่อไม่มีความพอใจ ก็ไม่มีสิ่งที่เป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก
๔. ถาม : ความพอใจเกิดจากอะไร.
ตอบ : เกิดจากความตรึก (วิตก) เมื่อไม่มีความตรึก ก็ไม่มีความพอใจ.
(ความพอใจ แปลจากคําว่า ฉันทะ อรรถกถาอธิบายว่า ฉันทะมี ๕ ประการ คือ ๑. ปริเยสนฉันทะ ความพอใจในการแสวงหา ๒. ปฏิลาภฉันทะ ความพอใจในการได้มา ๓. ปริโภคฉันทะ ความพอใจในการ บริโภค หรือใช้สอย๔. สันนิธิฉันทะ ความพอใจในการสะสม ๕. วิสัชชนฉันทะ ความพอใจในการสละ)
๕.ถาม : ความตรึกเกิดจากอะไร.
ตอบ: เกิดจากปปัญจสัญญาสังขานิทาน คือส่วนแห่งความกําหนดหมายกิเลส (ตัณหา ความทะยานอยาก, มานะ ความถือตัว, ทิฏฐิ ความเห็น) เป็นเหตุให้เนิ่นช้า.
๖.ถาม : ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติข้อปฏิบัติที่สมควร ที่ให้ถึงความดับส่วนแห่งความกําหนดหมายกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า.
ตอบ: โสมนัส (ความดีใจ) โทมนัส (ความเสียใจ) อุเบกขา (ความวางเฉย) มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งควรส้องเสพ อีกอย่างหนึ่งไม่ควรส้องเสพ คือเมื่อส้องเสพโสมนัส เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง กุศลธรรมเสื่อมไป อกุศลธรรมเจริญขึ้น สิ่งนั้นก็ไม่ควรส้องเสพ : ถ้าอกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น สิ่งนั้นก็ควรสัองเสพ ธรรมที่ควรสัองเสพนั้น คือที่มีวิตก (ความตรึก) มีวิจาร (ความตรอง) ; ที่ไม่มีวิตก วิจาร : ที่ไม่มีวิตก วิจาร แต่ประณีตขึ้นไปกว่า (หมายถึงโสมนัส เป็นต้น อันเกิดเพราะเนกขัมมะบ้าง เพราะวิปัสสนาบ้าง เพราะอนุสสติบ้าง เพราะปฐมฌาน เป็นต้นบ้าง-อรรถกถา). ภิกษุปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติข้อปฏิบัติที่สมควร ทีให้ถึงความดับส่วนแห่งความกําหนดหมายกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า.
๗. ถาม : ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสํารวมปาฏิโมกข์ (ศีลที่เป็นใหญ่เป็นประธาน)
ตอบ: ความประพฤติทางกาย (กายสมาจาร) ความประพฤติทางวาจา (วจีสมาจาร) และการ แสวงหา (ปริเยสนา) อย่างหนึ่งควรส้องเสพ อีกอย่างหนึ่งไม่ควรส้องเสพ คือเมื่อส้องเสพความประพฤติทางกายเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งกุศลธรรมเสื่อมไปอกุศลธรรมเจริญขึ้นสิ่งนั้นก็ไม่ควรส้องเสพ:ถ้าอกุศลธรรมเสื่อมไปกุศลธรรมเจริญขึ้นสิ่งนั้นก็ควรส้องเสพภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสํารวมปาฏิโมกข์.
๘. ถาม : ภิกษุปฏิบัติอย่างไรจึงชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสํารวมอินทรีย์ (คือตาหู จมูกลิ่นกายใจ).
ตอบ: อารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางตาหู จมูกลิ้นกายใจนั้นมี ๒ อย่างอย่างหนึ่งควรส้องเสพอีกอย่างหนึ่งไม่ควรส้องเสพ. (พอตรัสถึงเพียงนี้ ท้าวสักกะก็กราบทูลว่าเข้าใจความหมายว่าที่ไม่ควรส้องเสพและควรส้องเสพนั้นกําหนดด้วยเมื่อส้องเสพแล้วอกุศลธรรมหรือกุศลธรรมจะเจริญกันแน่).
๙. ถาม : สมณพราหมณ์ทั้งปวง มีวาทะ มีศีล มีฉันทะ มีจุดหมายปลายทาง อย่างเดียวกัน ใช่หรือไม่.
ตอบ: ไม่ใช่ เพราะโลกมีธาตุเป็นอเนก มีธาตุต่าง ๆ กัน สัตว์ยึดถือธาตุอันใด ก็กล่าวเพราะความยึดถือธาตุนั้นว่านี้แลจริงอย่างอื่นเป็นโมฆะ.
๑๐. ถาม : สมณพราหมณ์ทั้งปวงมีความสําเร็จมีความปลอดโปร่งจากกิเสสเครื่องยึด (โยคักเขมี) เป็นพรหมจารี มีที่สุดล่วงส่วนใช่หรือไม่ (คําว่าล่วงส่วนหมายความว่าเด็ดขาดไม่กลับกําเริบให้รอแปรปรวนอีก).
ตอบ : ไม่ใช่ จะมีความสําเร็จ เป็นต้น ล่วงส่วน ก็เฉพาะผู้ที่พ้นแล้วจากตัณหา (ความทะยานอยาก) เท่านั้น.
ท้าวสักกะจึงกราบทูลว่าตัณหาอันทําให้หวั่นไหวเป็นโรคเป็นหัวฝี เป็นลูกศรย่อมฉุดคร่าบุรุษเพื่อให้เกิดในภพนั้นๆถึงความสูงบ้าง. ครั้นแล้วได้แสดงความพอใจที่พระผู้มีพระภาคทรงตอบ
ปัญหาแก้ความสงสัยได้ เท่าที่เคยไปถามสมณพราหมณ์เหล่าอื่น แทนที่จะตอบ กลับมาย้อนถามว่า เป็นใคร ครั้นรู้ว่าเป็นท้าวสักกะ ก็กลับถามปัญหายิ่ง ๆ ขึ้นว่า ทํากรรมอะไรไว้จึงเกิดเป็นท้าวสักกะ ท้าวสักกะก็ตอบไป ตามที่ได้ฟัง ที่เล่าเรียนมา สมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็อิ่มเอิบใจ ว่าได้เห็นท้าวสักกะ ได้ถามปัญหา และ ท้าวสักกะได้ตอบแก่เรา กลายมาเป็นสาวกของข้าพระองค์ไป.
ครั้นแล้วได้กล่าววาจาสุภาษิตอีกหลายประการ ในที่สุดได้เอามือลูบแผ่นดิน แล้วเปล่งอุทานว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมุพุทฺธสฺส รวม ๓ครั้ง
หมายเหตุ : พระสูตรนี้ มีท่วงทํานอง จะแก้ความเคารพบูชาเทวดาสําคัญ ๆ เช่น พระอินทร์ หรือท้าวสักกะของบุคคลส่วนใหญ่ โดยชี้ให้เห็นว่าในพระพุทธศาสนา เทวดาเหล่านั้น ยังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาตรัสรู้ เท่ากับเป็นหลักการอันหนึ่งที่แสดงว่า ท่านผู้เป็นพุทธะ เป็นผู้ตรัสรู้หมดกิเลส มีความ บริสุทธิ์สะอาดสูงกว่าเทวดาทั้งปวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น