พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-จักกวัตติสูตร
จักกวัตติสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่11 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เป็นพระสูตรขนาดยาว
๓. จักกวัตติสูตร
สูตรว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ
********************************************************************************************
พระผู้มีพระภาคประทับณนครมาตุลาแคว้นมคธตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้พึงตนพึงธรรมและเจริญสติปัฏฐาน
๔ แล้วตรัสเล่าเรื่องรัตนะ ๗
ประการของพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าทัฬหเนมิ คือ :
๑. จักร (ลูกล้อรถ) แก้ว (จักกรัตนะ)
๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)
๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)
๔. แก้วมณี
๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ)
๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)
พระเจ้าทัฬหเนมิตรัสสั่งบุรุษคนหนึ่งให้คอยดูว่า จักรแก้วเคลื่อนจากฐานเมื่อไรให้มาบอก จําเนียร กาลล่วงมา เมื่อจักรแก้วเคลื่อนจากที่ บุรุษนั้นก็ไปกราบทูล พระองค์จึงตรัสเรียกพระราชบุตรองค์ใหญ่ มอบราชสมบัติให้แล้วปลงพระเกสาและพระมัสสุ ทรงผ้ากาสายะ (ผ้าย้อมผ่าด) ออกผนวชเป็นบรรพชิต. เมื่อออกผนวชเป็นราชฤษีได้ ๗ วัน จักรแก้วก็อันตรธานหายไป.
พระราชา (พระองค์ใหม่) ก็ทรงเสียพระราชหฤทัย เข้าไปเฝ้าพระราชฤษี เล่าความถวาย. พระราชฤษีก็ตรัสปลอบว่า จักรแก้วเป็นของให้กันไม่ได้ และทรงแนะนําให้บําเพ็ญจักกวัตติวัตร คือข้อปฏิบัติของพระเจ้าจักรพรรติ มีฐานะอยู่ที่เมื่อปฏิบัติแล้ว จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกําตั้งพัน, มีกง, ดุมสมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงจักปรากฏขึ้นแก่พระราชาผู้รักษาอุโบสถในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ผู้ขึ้นสู่ชั้นบนปราสาท กราบทูลถามว่า วัตร อันประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นอย่างไร ตรัสตอบว่า
๑. จงอาศัยธรรมสักการะเคารพนับถือธรรม ให้ความคุ้มครองอันเป็นธรรมแก่มนุษย์แลสัตว์ ไม่ยอมให้ผู้ทําอันเป็นอธรรมเป็นไปได้ในแว่นแคว้น
๒ ผู้ใด ไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้
๓. เข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้เว้นจากความเมา ประมาท ตั้งอยู่ในขันติ (ความอดทน) โสรัจจะ (ความสงบเสงี่ยม)
และถามถึงสิ่งเป็นกุศล, อกุศล, มีโทษ, ไม่มีโทษ, ควรเสพ, ไม่ควรเสพ, อะไรทําเข้า เป็นไปเพื่อเสียประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน, อะไรทําเข้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขตลอดกาลนาน เมื่อฟังแล้ว ก็รับเอาสิ่งที่เป็นกุศลมาประพฤติ นี้แลคือวัตรอันประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น
เมื่อพระราชา (ผู้เป็นราชบุตร) กระทําตามจักรแก้วก็ปรากฏขึ้นตามที่พระราชฤษีทรงกล่าวไว้พระราชาจึงทรงถือเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรงหมุนจักรแก้วไปด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา รับสั่งว่า จักรแก้ว อันเจริญจงหมุนไปเถิด จงมีชัยเถิด แล้วยกกองทัพมีองค์ ๔ ติดตามไปทั้งสี่ทิศจนจดสมุทร สั่งสอนพระราชา ในทิศนั้น ๆ ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วมอบให้ครอบครองสมบัติต่อไปตามเดิม (เพียงให้ยอมแพ้เท่านั้น) เมื่อได้ ชัยชนะทั้งสี่ทิศแล้ว ก็เสด็จกลับสู่ราชธานีตามเดิม.
พระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์ที่ ๒-๓-๔-๕-๖ และที ๗ ก็เป็นอย่างนี้ พระเจ้าจักรพรรดิที่ ๗ เมื่อออกผนวชและมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรสแล้วจักรแก้วก็อันตรธานหายไปพวกอํามาตย์ราชบริพารก็ถวายคําแนะนําเรื่องวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์.
ความผิดพลาดในพระราชาองค์ที่ ๘
พระราชาสดับแล้ว ก็ทรงจัดการรักษาคุ้มครองอันเป็นธรรม แต่ไม่พระราชทานทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์ (ในข้อนี้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ไนปัจจุบันก็คือ ไม่จัดการด้านสังคมสงเคราะห์ ไม่มีการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ ได้ยาก) ความยากจนก็ไพบูล เมื่อความยากจนไพบูล คนก็ลักทรัพย์ของผู้อื่น, ราชบุรุษจับได้ก็นํามาถวายให้ทรงจัดการเมือทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ และทราบว่าเพราะไม่มีอาชีพก็พระราชทานทรัพย์ให้ไปเลี้ยงตนเลียงมารดาบิดาบุตรภรรยาประกอบการงานและบํารุงสมณพราหมณ์ ต่อมามีคนลักทรัพย์ของผู้อื่นและถูกจับได้อีกทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์อย่างเดิมก็พระราชทานทรัพย์อีก. ข่าวก็ลือกันไปว่าถ้าใครลักทรัพย์ก็จะได้พระราชทานทรัพย์ คนก็ปรารถนาจะลักทรัพย์กันมากขึ้น.
ต่อมาราชบุรุษจับคนลักทรัพย์ได้อีกแต่คราวขึ้นพระราชาทรงเกรงว่าถ้าพระราชทานทรัพย์ การลักทรัพย์ก็จักเพิ่มยิ่งขึ้นจึงตรัสสั่งให้มัดโกนศีรษะพาตระเวนไปตามถนนหนทางด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว๑นําออกทางประตูพระนครด้านใต้ ปราบกันอย่างถอนรากตัดศีรษะเสีย.
เมื่อมนุษย์ได้ทราบข่าวก็พากันสร้างศัสตราอันคมขึ้นและคิดว่าถ้าลักทรัพย์ใครก็จะต้องตัดศีรษะเจ้าทรัพย์บัาง จึงเกิดการปล้นหมู่บ้านนิคมนครและการปล้นในหนทาง.
อายุลด อธรรมเพิ่ม
จากการที่ไม่ให้ทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ก็มากด้วยความยากจน มากด้วยการลักทรัพย์ มากด้วยการใช้ ศัสตรา มากด้วยการฆ่า มากด้วยการพูดปด อายุและผิวพรรณของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมลง คือมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี บุตรมีอายุเพียง ๔ หมื่นปี และลดลงเรื่อย ๆ ในเมื่อความชั่วเกิดมากขึ้น เช่น การพูดเท็จอย่าง จงใจ, การพูดส่อเสียด, การประพฤติผิดในกาม เมื่ออายุลดลงมาเหลือ ๕ พันปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือการพูดคําหยาบ และการพูดเพ้อเจ้อ เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒,๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือ โลภอยากได้ของเขา และพยาบาทปองร้ายเขา. เมื่ออายุลดลงมาถึง ๑ พันปี มากไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ความ เห็นผิดจากคลองธรรม เมื่ออายุลดลงมาถึง ๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ๑. ความกําหนัด ที่ผิดธรรม(อธมมราค) ๒. ความโลภรุนแรง (วิสมโลภ) ๓. ธรรมะที่ผิด (อรรถกถาอธิบายว่า ความกําหนัด พอใจผิดปกติ เช่น ชายในชาย หญิงในหญิง) เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒๕๐ ปี มากไปด้วยธรรม คือการไม่ปฏิบัติ ชอบในมารดา, บิดา, ในสมณะ ในพราหมณ์, การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เมื่อเสื่อมลงอย่างนี้ ทั้งอายุ และผิวพรรณ มนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี บุตรก็มีอายุเพียง ๑๐๐ ปี.
เหลืออายุ ๑๐ ปี เกิดมิคสัญญี
จักมีสมัยที่บุตรของมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญิงสาวอายุ ๕ ปี ก็มีสามีได้ ; รสเหล่านี้จะอันตรธานไปคือเนยใสเนยข้นน้ำมันน้ำผึ้งน้ำอ้อยรสเค็ม : เมล็ดพืชชื่อกุทรุสกะ (ไทยแปลกันว่าข้าวหญ้ากับแก้) จะเป็นโภชนะอันเลิศเสมือนหนึ่งข้าวสุกแห่งข้าวสาลีและเนื้อสัตว์เป็นโภชนะอันเลิศในสมัยนี้
(คือของเลวสมัยนี้กลายเป็นของดีในสมัยเสื่อม) ; กุสลกัมมบถ (ทางแห่งกุศล) ๑๐ ประการ จะอันตรธาน อกุสลกัมมบถ (ทางแห่งอกุศล) ๑๐ ประการ จะรุ่งเรืองยิ่ง : แม้คําว่า กุศล ก็ไม่มี ผู้ทํากุศลจะมีแต่ที่ไหน : การไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในสมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล จะได้รับการบูชา สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับปัจจุบันนี้ ; จะไม่มีคําว่า มารดา, น้า, บิดา, ป้า, อา, ภริยาของอาจารย์, ภริยา ของครู โลกจะเจือปนกันเหมือนสัตว์ เช่น แพะ ไก่ สุกร ; จักมีอาฆาต, พยาบาท, มุ่งร้ายกัน, คิดฆ่ากันอย่าง รุนแรง, แม่คิดต่อลูก ลูกคิดต่อแม่, พ่อคิดต่อลูก ลูกคิดต่อพ่อ, พี่ชายคิดต่อน้องหญิง น้องหญิงคิดต่อพี่ชาย
จะเกิดมีสัตถันตรกัปคือกัปป์ที่อยู่ในระหว่างศัสตรา ๗ วัน คนทั้งหลายจะมีความสําคัญในกันและกันว่าเป็นเนื้อ (มิคสัญญา) จะมีศัสตรา อันคมเกิดขึ้นในมือ ฆ่ากันและกันด้วยสําคัญว่าเนื้อ.
กลับเจริญขึ้นอีก
มีบุคคลบางคนหลบไปอยู่ในป่าดง พงชัฏ กินเหง้าไม้ ผลไม้ในป่า เมื่อพ้น ๗ วันแล้ว ออกมาก็ดีใจร่าเริงที่รอดชีวิต จึงตั้งใจทํากุศลกรรม ละเว้นการฆ่าสัตว์ และบําเพ็ญกุศลกรรม ละเว้นอกุศลกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอายุก็ยืนขึ้นเรื่อยๆจนถึง ๘ หมื่นปี,
พระเจ้าจักรพรรดิอีกพระองค์หนึ่ง
เมื่อมนุษย์มีอายุยืน ๘ หมื่นปีนั้น หญิงสาวอายุ ๕ พันปีจึงมีสามีได้ มนุษย์จะมีโรคเพียง ๓ อย่าง คือ ๑. ความปรารถนา (อยากอาหาร) ๒. ความไม่อยากกินอาหาร (เกียจคร้านอยากจะนอน) ๓. ความแก่. ชมพูทวีปนี้จะมั่งคั่งรุ่งเรือง มีคามนิคมราชธานีแบบไก่บินถึง (ใกล้เคียงกัน) ยัดเยียดไปด้วยมนุษย์ กรุงพาราณสี จะเป็นราชธานีนามว่า เกตุมตี อันมั่งคั่ง มีคนมาก อาหารหาง่าย จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์พระนามว่า สังขะ เป็นพระราชาผู้ปกครองโดยธรรม มีชัยชนะจบ ๔ ทิศ ปกครองชนบทถาวรสมบูรณ์ด้วยรัตนะทั้งเจ็ด.
พระเมตไตรยพุทธเจ้า
เมื่อมนุษย์มีอายุยืน๘ หมื่นปีนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย จักบังเกิดในโลก เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้) จรณะ (ความประพฤติ) เป็นต้น แสดงธรรม ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ บริหารภิกษุสงฆ์มีพันเป็นอเนกเช่น เดียวกับที่เราบริหารภิกษุสงฆ์มีร้อยเป็นอเนก พระเจ้าสังขจักรพรรดิ์จักให้ยกปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะ ให้สร้างขึ้น ครอบครอง แจกจ่ายทาน และออกผนวชในสํานักพระเมตไตรยพุทธเจ้า ในไม่ช้าก็จะทําให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมด้วยความรู้ยิ่งด้วยพระองค์เอง (คือสําเร็จเป็นพระอรหันต์).
ครั้นแล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายพึ่งตน พึ่งธรรม เจริญสติปัฏฐาน ๔ และสอนให้ท่องเที่ยวไป ในโคจรของบิดา (ดําเนินตามพระองค์) ก็จักเจริญด้วยอายุ วรรณะ (ผิวพรรณ) สุข โภคะ (ทรัพย์สมบัติ) และพละ (กําลัง).
๑. ทรงแสดงการเจริญอิทธิบาท (คุณให้บรรลุความสําเร็จ) ๔ ประการ ว่าเป็นเหตุให้ดํารงอยู่ได้ ตลอดกัปป์หรือกว่ากัปป์,
๒. ทรงแสดงการมีศีล สํารวมในปาฏิโมกข์ (ศีลที่เป็นประธาน) ว่าเป็นเหตุให้มีวรรณะ
๓. ทรงแสดงการเจริญฌานทั้งสี่ ว่าเป็นเหตุให้มีสุข,
๔. ทรงแสดงการเจริญพรหมวิหาร ๔ ว่าเป็นเหุตให้มีโภคะ (ทรัพย์สมบัติ).
๕ ทรงแสดงการทําให้แจ้งเจโตวิมุติ (ความหลุดพ้นเพราะสมาธิ) ปัญญาวิมุติ (ความหลุดพันเพราะ ปัญญา) อันไม่มีอาสวะอยู่ในปัจจุบัน ว่าเป็นเหตุให้มีพละ (กําลัง).
ตรัสในที่สุดว่า ไม่ทรงเห็นกําลังอย่างอื่นสักอย่างหนึ่งที่ครอบงําได้ยากเท่ากําลังของมาร เพราะ สมาทานกุศลธรรม บุญก็จะเจริญยิ่ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น