Translate

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

พระสุตตันตปิฎก-อัคคัญญสูตร





       พระไตรปิฎก-พระสุตตันตปิฎก-อัคคัญญสูตร
               อัคคัญญสูตร อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่11 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เป็นพระสูตรขนาดยาว


๔.อัคคัญญสูตร

สูตรว่าด้วยสิ่งที่เลิศ หรือที่เป็นต้นเดิม


********************************************************************************************






พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขาในบุพพาราม ใกลักรุงสาวัตถี สมัยนั้น สามเณรชื่อวาเสฏฐะและภารัทวาชะ (เดิมนับถือศาสนาอื่น) อยู่ปริวาส (อบรม)ในภิกษุทั้งหลาย ปรารถนา ความเป็นภิกษุ ชวนกันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้กําลังจงกรมอยู่ในที่แจ้ง เพื่อฟังธรรม พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกท่านมีชาติเป็นพราหมณ์ มีสกุลเป็นพราหมณ์ ออกบวช. พวกพราหมณ์ที่เป็นชั้นหัวหน้า ไม่ด่า ไม่บริภาษบ้างหรือ กราบทูลตอบว่า ด่าอย่างเต็มที่ ตรัสถามว่า ด่าอย่างไร. กราบทูลว่า ด่าว่าพราหมณ์เป็น วรรณะประเสริฐ เป็นวรรณะขาว บริสุทธิ์ วรรณะอื่นเลว เป็นวรรณะดํา ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เป็นบุตร ของพรหม เกิดจากปากพรหม เป็นพรหมทายาท. พวกท่านละวรรณะอันประเสริฐ ไปเข้าสู่วรรณะเลว คือ พวกสมณะศีรษะโล้น ซึ่งเป็นพวกไพร่ พวกดํา พวกเกิดจากเท้าของพระพรหม ซึ่งเป็นการไม่ดี ไม่สมควร เลย พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พราหมณ์พวกนั้นลืมตน เกิดจากองค์กําเนิดของพราหมณีแท้ ๆ ยังกล่าวว่า ประเสริฐสุด เกิดจากปากพรหม เป็นต้น ซึ่งเป็นการกล่าวคู่พระพรหมและพูดปด


                แล้วตรัสเรื่องมนุษย์ ๔ วรรณะ ที่ทําชั่วทําดีได้อย่างเดียวกัน และเรื่องที่พระเจ้าปเสนทิโกศล (ผู้เป็นกษัตริย์) แต่ปฏิบัติต่อพระองค์ ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าเป็นพวกดํา (เพราะปลงศีรษะออกบวช) อย่างเต็ม ไปด้วยความเคารพ.

                ครั้นแล้วตรัส (เป็นเชิงปลอบใจ หรือให้หลักการใหม่) ว่า ท่านทั้งหลายมาบวช จากโคตร จากสกุล ต่าง ๆ เมื่อมีผู้ถามว่า เป็นใคร ก็จงกล่าวตอบว่า พวกเราเป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมสร้าง เป็นธรรมทายาท (ผู้รับมรดกธรรม) ทั้งนี้เพราะคําว่า ธัมมกาย (กายธรรม) พรหมกาย (กายพรหม) และ ผู้เป็นธรรม ผู้เป็นพรหม นี้เป็นชื่อของตถาคต.

(เป็นการแก้ข้อด่าของพวกพราหมณ์ โดยสร้างหลักการใหม่ให้พวกมาบวชจากทุกวรรณะได้ชื่อว่า มีกําเนิดใหม่ที่ไม่แพ้พวกพราหมณ์).

    ครั้นแล้วตรัสเรื่องสมัยหนึ่งโลกหมุนเวียนไป|สู่ความพินาศสัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมากเมื่อโลกหมุนกลับ (คือเกิดใหม่ภายหลังพินาศสัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจกินปีติเป็นภักษา (ยังมีอํานาจฌานอยู่มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ (เช่นเดียวกับเมือเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม).

อาหารชั้นแรก

                แล้วเกิดมีรสดิน (หรือเรียกว่าง้วนดินอันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส สัตว์ทั้งหลายเอานิ้วจิ้มง้วนดินลิ้มรสดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกิ่งเดือน มีฤดู และปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของ ผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะ ความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย แล้วก็เกิดสะเก็ดดินที่สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของ ผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น สะเก็ดดินก็หายไป เกิด เถาไม้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้นเกิดการดูหมิ่นถือตัวเพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้นเถาไม้ก็หายไป ข้าวสาลี ไม่มีเปลือกมีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสาลีก็เกิดขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีกไม่ปรากฏพร่องไปเลยความหยาบกระด้างของกายความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น

เพศหญิงเพศชาย

                จึงปรากฏเพศหญิงเพศชาย.เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันเกินขอบเขต ก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อนและเสพเมถุนธรรมต่อหน้าคนทั้งหลายเป็นที่รังเกียจและพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะสมัยนั้นถือว่าการเสพเมถุนเป็นอธรรม เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นธรรม (ถูกต้อง). ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น.

การสะสมอาหาร

                ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนําข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นํามาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนํามาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็นต่อมาก็นํามาครั้งเดียวให้พอสําหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาร ที่ถอนแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน ปรากฏความพร่อง (เป็นตอน ๆ ที่ถูกถอนไปมนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความ เสื่อมลงโดยลําดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีกําหนดเขต(เป็นของคนนั้นคนนี้).

อกุศลธรรมเกิดขึ้น กษัตริย์เกิดขึ้น

                ต่อมาบางคนรักษาส่วนของตนขโมยของคนอื่นมาบริโภคเมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทําอีกเขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีกถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีกแต่บางคนก็ลงโทษตบด้วยมือขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้.เขาจึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปดการจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งคนขึ้นให้ทําหน้าที่ติคนที่ควรติ ขับไล่คนที่ควรขับไล่ โดยพวกเราจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงามมีศักดิ์ใหญ่แต่งตั้งเป็นหัวหน้าเพื่อปกครองคน (ติและขับไล่คนที่ทําผิดคําว่า"มหาสมมต" (ผู้ที่มหาชนแต่งตังกษัตริย์ (ผู้เป็นใหญ่แห่งนาราชา (ผู้ทําความอิมใจสุขใจแก่ผู้อื่นจึงเกิดขึ้น.กษัตริย์ก็เกิดขึ้นจากคนพวกนั้นมิใช่พวกอื่นจากคนเสมอกันมิใช่คนไม่เสมอกันเกิดขึ้นโดยธรรมมิใช่เกิดขึ้นโดยธรรมะ ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต.

เกิดพราหมณ์,แพศย์,ศูทร

                ยังมีคนบางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่วที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาปสร้าง กุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) ; บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งตํารา (อรรถกถาว่า แต่งพระเวทและสอนให้ผู้อื่นสวดสาธยายคนจึงกล่าวว่า ไม่เพ่ง นามว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่งจึงเกิดขึ้น เดิมหมายความเลว แต่บัดนี้หมายความดี (อัชฌายกะ ปัจจุบันนี้แปลว่า ผู้สาธยาย).

                ยังมีคนบางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีวิต จึงมีชื่อว่าศูทร (พระไตรปิฎก ฉบับไทยตกหาย ข้อความวรรคนี้ทั้งวรรค จึงต้องแปลตามฝรั่ง อรรถกถาอธิบายคําว่า สุทท มาจากคําว่า ลุทท (นายพรานหรือ ขุทท (งานเล็ก ๆ น้อย ๆเป็นเชิงว่าพวกแพศย์ คือผู้ทํางานสําคัญ แต่พวกศูทรทํางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้าใจกันทั่วไป คือศูทรเป็นพวกคนงานหรือคนรับใช้).

                ครั้นแล้วตรัสสรูปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากพวกคนพวกนั้น มิใช่เกิดจากคนพวกอื่น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม(แสดงว่า การแบ่งชั้นวรรณะนั้น ในชั้นเดิมมิได้มาจากหลักการอื่น นอกจากการแบ่งงานหรือแบ่งหน้าที่กันตามความ สมัครใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่าใครวิเศษกว่าใครมาแต่ต้น แท้จริงก็คนชั้นเดียวกันมาแต่เดิม ทั้งนี้เป็นการทําลาย ทิฏฐิมานะ ช่วยให้ลดการดูหมิ่นกันแลกัน เป็นการปฏิเสธหลักการของพราหมณ์ ที่ว่าใครเกิดจากส่วนไหนของพระพรหม ซึ่งสูงต่ำกว่ากัน).

สมณมณฑล

                แล้วตรัสต่อไปว่ามีสมัยซึ่งบุคคลในวรรณะทั้งสี่มีกษัตริย์ เป็นตันไม่พอใจธรรมะของตนออกบวชไม่ครองเรือนจึงเกิดสมณมณฑลหรือคณะของสมณะขึ้นจากคณะทั้งสี่ คือเกิดจากคนเหล่านั้นมิใช่เกิดจากคนพวกอื่นเกิดจากคนที่เสมอกันมิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกันเกิดขึ้นโดยธรรมมิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม. (อันนีเป็นการพิสูจน์อีกว่าคนชั้นสมณะที่พวกพราหมณ์ดูหมิ่นอย่างยิ่งนั้นก็เกิดจากวรรณะทั้งสี่ ซึ่งมีมูลเดิมมาดัวยกันไม่ใช่ใครสูงต่ำกว่ากัน).

การได้รับผลเสมอกัน

                ครั้นแล้วตรัสสรูปว่าทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรและสมณะถ้าประพฤติทุจจริตทางกายวาจาใจมีความเห็นผิดประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิดเมื่อตายไปก็จะเข้าถึงอบายทุคคติ
วินิบาต นรก เหมือนกันถ้าตรงกันข้าม คือประพฤติสุจริตทางกายวาจา ใจมีความเห็นชอบประกอบ กรรม ซึ่งเกิดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เหมือนกัน หรือถ้าทําทั้งสองอย่าง (คือชั่วก็ทํา ดีก็ทําก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน.

                อนึ่ง วรรณะทั้งสี่นี้ ถ้าสํารวมกายวาจา ใจอาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๗ ประการก็จะ ปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน.

                และวรรณะทั้งสี่เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้น เพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมะเป็นสิ่ง ประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

                ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของสนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐ สุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชชา (ความรู้จรณะ (ความประพฤติผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดา และมนุษย์

                (หมายเหตุพระสูตรนี้ มีลีลาแสดงความเป็นมาของโลก แต่แสดงแล้ว ก็ยกธรรมะเป็นจุดสูงสุด ในเทวดาและมนุษย์ วรรณะทั้งสี่ก็มาจากคนพวกเดียวกัน ไม่มีใครวิเศษกว่ากัน แต่ภายหลังคนเข้าใจผิด ดูหมิ่นกันไปเอง การแสดงเรื่องความเป็นมาของโลก อาจวินิจฉัยได้เป็น ๒ ประการ คือประการแรก เป็น การเอาหลักของศาสนาพราหมณ์มาเล่า แต่อธิบายหรือตีความเสียใหม่ให้เข้ารูปเข้ารอยกับคติธรรมทาง พระพุทธศาสนา อันชี้ให้เห็นว่าพราหมณ์เข้าใจของเก่าผิด จึงหลงยกตัวเองว่าประเสริฐ อีกอย่างหนึ่ง เป็นการเล่าโดยมิได้อิงคติของพราหมณ์โดยถือเป็นของพระพุทธศาสนาแท้ ๆ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะถ้า เทียบส่วนใหญ่กับส่วนเล็กในทางวิทยาศาสตร์แล้วปรมาณุที่มีโปรตอนเป็นศูนย์กลาง มีอีเล็กตรอน เป็นตัว วิ่งวน รวมทั้งมีนิวตรอนเป็นส่วนประกอบด้วยนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับสุริยะระบบ ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็น จุดศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (PLANETS) เช่นโลกเรา และดาวพระศุกร์ พระเสาร์ เป็นต้น วนรอบคล้าย อีเล็กตรอน มีบางโอกาสที่ปรมาณูอาจถูกแยก ถูกทําลาย เพราะเหตุภายนอก เช่น ที่นักวิทยาศาสตร์จัดทํา ฉันใด สุริยะระบบ หรือ SOLAR SYSTEM ก็เช่นเดียวกัน อาจถูกทําลายหรือสลายตัว แล้วเกิดใหม่ได้ เพราะมีระบบสุริยะอื่นเข้ามาใกล้หรือมีเหตุอื่นเกิดขึ้น ในการเกิดก็เช่นเดียวกัน เมื่อทําลายได้ก็อาจรวมตัวได้ ในเมื่อธาตุไฮโดรเยนกับออกซิเยนรวมตัวกันเป็นน้ํา พวกฝุ่นผงที่แหลกก็เข้ามารวมตัวกันน้ำได้และแข้นแข็ง ขึ้นในที่สุด เป็นเรื่องเสนอชวนให้คิด แต่มิได้ชวนให้ติดในเกร็ด เพราะสาระสําคัญอยู่ที่การถือธรรมะเป็นใหญ่ เป็นหลักของสังคมทุกชั้น)








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น